วันนี้ (2 ธันวาคม 2568) ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (ผอ.สคทช.) มอบหมายให้ นายณัฐวุฒิ เปลื้องทุกข์ ผู้ช่วย ผอ.สคทช. เป็นประธานการประชุมเพื่อนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมี นายสุริยน พัชรครุกานนท์ ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ดร. จักรกฤษณ์ ควรพจน์ ผู้จัดการโครงการวิจัย และที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายเพื่อการพัฒนา มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้ทรงคุณวุฒิของ สคทช. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สคทช. เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม Ballroom A โรงแรมมารวยการ์เด้นท์ และผ่านระบบ VDO Conference
ผลประเมินชี้ความสำเร็จ และปัญหาเชิงโครงสร้าง
คณะผู้วิจัยจาก TDRI ได้นำเสนอผลการประเมินการดำเนินงานตาม พ.ร.บ. คทช. โดยแบ่งการวัดผลเป็น 5 ด้าน และใช้ระเบียบวิธีวิจัยทั้งเชิงปริมาณ (แบบสอบถาม Likert Scale และ Cost Effectiveness) และเชิงคุณภาพจากการประชุมรับฟังความคิดเห็น 5 เวที ผลลัพธ์เชิงบวกต่อประชาชน:จากการสำรวจเกษตรกร/ชาวบ้านที่ได้รับจัดสรรที่ดินใน 3 จังหวัด (เชียงใหม่ นครพนม อุทัยธานี) จำนวน 122 ราย พบว่า
- รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดย 61.8% ระบุว่าเพิ่มขึ้นพอควรหรือเพิ่มขึ้นมาก
- ความมั่นคงในชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สูงถึง 91.9% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และที่ดินส่วนใหญ่ยังคงถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรมตามวัตถุประสงค์
ทั้งนี้ จุดอ่อนและข้อจำกัดที่ต้องเร่งแก้ไขผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ให้คะแนนผลสัมฤทธิ์รวมของ พ.ร.บ.ฯ ที่ 6.63/10 คะแนน (ระดับปานกลาง) โดยอุปสรรคสำคัญที่สุดคือ:
- กฎหมาย/ระเบียบแต่ละหน่วยงานไม่เป็นเอกภาพ (28% ของความเห็น)
- ปัญหาข้อมูลแผนที่ (The “Map” Problem): การขาดความชัดเจนของแนวเขตที่ดิน (One Map) เป็นอุปสรรคอันดับ 1 ในการจัดหา จัดสรร และพิสูจน์สิทธิ
- การส่งเสริมอาชีพ ไม่ตรงกับความต้องการของชาวบ้าน (35% ของความเห็น) และขาดงบประมาณที่ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การจัดหาที่ดินและการกำหนดพื้นที่เป้าหมายรวม 5.9 ล้านไร่ ส่วนใหญ่เป็น ป่าสงวนแห่งชาติ (69%) แต่พบว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการหาพื้นที่ใหม่ ชะลอตัวลง (-12.1% ต่อปี) การประชุมปิดท้ายด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจาก ดร. จักรกฤษณ์ ควรพจน์ ผู้จัดการโครงการวิจัย ให้เร่ง "Legal Harmonization" ปรับกฎหมายหน่วยงานรัฐให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คทช. และมุ่งเน้น "Demand-Driven Approach" ในการส่งเสริมอาชีพตามความต้องการจริงของชาวบ้าน





